เกี่ยวกับเรา
พระผงสุพรรณ กรุวัดพระศรีมหาธาตุพิมพ์หน้ากลาง


1. พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าแก่
2. พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้ากลาง
3. พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าหนุ่ม
พระผงสุพรรณพิมพ์หน้าแก่ นั้นเป็นพระพิมพ์เนื้อดินเผาศิลปะอู่ทอง ประทับนั่งปางมารวิชัย บานฐานเชียง พระพักตร์มีเค้าความเหี่ยวย่น คล้ายคนชราภาพ เป็นที่มาของชื่อ “พิมพ์หน้าแก่” ซึ่งมีจุดสังเกตดังนี้
- พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าแก่ มีเพียงแม่พิมพ์เดียว สาเหตุที่ดูเผิน ๆ แตกต่างกันนั้น เนื่องมาจากการผ่านการเผา ทำให้ได้รับความร้อนไม่เท่ากัน ส่งผลให้ขนาด สีสัน วรรณะ การหดตัวไม่เท่ากัน นอกจากนี้การตัด การบรรจุกรุ สภาพการใช้ยังส่งผลต่อการพิจารณาพระผงสุพรรณด้วย
- พระเนตรด้านซ้ายขององค์พระยาวรีลึก ปลายพระเนตรตวัดขึ้นสูงกว่าพระเนตรด้านขวา
- พระนาสิกหนาใหญ่ สองข้างมีร่องลึกลงมารับพระโอษฐ์ ซึ่งแย้มเล็กน้อย
- พระกรรณขวาขององค์พระจะขมวดคล้ายมุ่นมวยผม ไรพระศกทอดยาวลงมามากกว่าพระกรรณด้านซ้าย
- เกือบบนสุดของพระกรรณขวามีร่องลึก เหมือนร่องหู และพระกรรณด้านบนเหนือร่อง จะหนาใหญ่โค้งคล้ายใบหูมนุษย์
- ด้านในของพระกรรณซ้ายจะมีเม็ดผดคล้ายเมล็ดข้าวสารวางสลับไปสลับมาเรื่อยมาถึงปลายพระกรรณ
- พระอุระใหญ่ก่อนจะคอดกิ่วมาทางพระนาภีคล้ายหัวช้าง
- ระหว่างพระอุระกับพระอังสะซ้ายขององค์พระเว้าลึกปรากฏเป็นรอยสามเหลี่ยม
- มีเส้นบาง ๆ ลากผ่านเหนือพระอังสะซ้ายไปจรดขอบนอกพระอุระด้านซ้ายปลายเส้นปรากฏเม็ดผด เล็ก ๆ ขึ้นเรียงรายได้ราวนมซ้าย
- พระหัตถ์ซ้ายหนาใหญ่อยู่กึ่งกลางลำพระองค์ ปลายพระหัตถ์ไม่จรดพระกรขวา เหมือนพิมพ์หน้ากลาง มองเห็นร่องพระหัตถ์ชัดเจน
- ข้อพระกรขวาขององค์พระด้านในเว้าลึก

พระผงสุพรรณพิมพ์หน้ากลาง มีพุทธลักษณะเนื้อหาทรวดทรงสัณฐานเช่นเดียวกับพระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าแก่ แต่เค้าพระพักตร์จะไม่เคร่งขรึม เหี่ยวย่น เหมือนพิมพ์หน้าแก่ ดูอิ่มเอิบสดใส คล้ายหน้าหนุ่มที่ไม่สูงวัยมาก และจะมีแม่พิมพ์เพียงพิมพ์เดียว มีลักษณะที่น่าสังเกตดังนี้
- พระพักตร์อิ่มเอิบ ไม่เหี่ยวย่นชราภาพเหมือนพิมพ์หน้าแก่
- พระเนตรทั้งสองข้างไม่จมลึกเท่าพิมพ์หน้าแก่ ปลายพระเนตรด้านซ้ายขององค์พระตวัดเฉียงขึ้นเล็กน้อย หากพิจารณาให้ดี จะเห็นได้ว่ารูปพระพักตร์ระหว่างพระเนตรทั้งสองข้าง วางได้ระดับเท่ากัน ทั้งสองข้างไม่เอียงเหมือนพิมพ์หน้าแก่
- พระกรรณทั้งสองข้างจะเป็นเส้นเอียงลงตามเค้าพระพักตร์และมีความยาวเกือบเท่ากันทั้งสองข้าง
-ในองค์ที่ติดพิมพ์ชัด ปลายพระกรรณขวาขององค์พระจะเรียวยาวคล้ายจงอยที่ปลายงอเข้าหาด้านในเล็กน้อย ส่วนปลายพระกรรณซ้ายขององค์พระจะแตกเป็นหางแซงแซว
- พระอุระผายกว้างและสอบเพรียวตรงพระนาภีดูคล้ายหัวช้าง
- พระหัตถ์ซ้ายวางที่หน้าตัก แต่ให้สังเกตปลายพระหัตถ์ก็จะยาวยื่นไปเกือบชนลำพระกรขวาขององค์พระ ซึ่งจะแตกต่างจากพิมพ์หน้าแก่และพิมพ์หน้าหนุ่ม
- ข้อพระกรขวาเว้าลึกอย่างเห็นได้ชัด
- ในองค์ที่ติดชัดข้างฝ่าพระหัตถ์ขวามีติ่ง เนื้อเกินเล็ก ๆ วิ่งจากโคนนิ้วขึ้นด้านบน

พระผงสุพรรณพิมพ์หน้าหนุ่ม เป็นพิมพ์ที่มีความลึก คมชัดเป็นอย่างยิ่ง ดูจากสภาพองค์พระ ที่ปรากฏจะเห็นลักษณะการถอดออกจากแม่พิมพ์ค่อนข้างยาก กว่าพระผงสุพรรณพิมพ์อื่น เหตุเพราะแม่พิมพ์มีความลึกมากเป็นพิเศษ ดังนั้น จึงพบองค์สภาพสมบูรณ์น้อยมาก พระพักตร์จะดูอ่อนเยาว์ สดใสและเรียวเล็กกว่าพิมพ์อื่น สมัยโบราณเรียกว่า “พิมพ์หน้าหนู” ซึ่งพระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าหนุ่มนี้มีแม่พิมพ์เดียว มีข้อสังเกตดังนี้
- พระพักตร์ดูอ่อนเยาว์ สดใส แตกต่างจากพิมพ์หน้าแก่และพิมพ์หน้ากลางอย่างเห็นได้ชัด
- พระเนตรทั้งสอข้างอยู่ในระนาบเดียวกัน ปลายพระเนตรซ้ายขององค์พระ ยกเฉียงขึ้นเล็กน้อย
- พระนาสิกหนาใหญ่ตั้งเป็นสัน
- ริมพระโอษฐ์หนา
- พระกรรณจะแตกต่างจากพิมพ์หน้าแก่ และพิมพ์หน้ากลาง กล่าวคือ ตั้งขึ้นเป็นสันแนบชิดกับพระพักตร์ และยาวลงมาเกือบจรดพระอังสะทั้งสองข้าง
จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นเมืองเก่าแก่มีโบราณสถาน และโบราณวัตถุทางพุทธศาสนามากมาย โดยเฉพาะพระเครื่อง และพระบูชาที่บรรพบุรุษ ได้สร้างบรรจุไว้ในองค์พระเจดีย์ และสถานที่สำคัญต่างๆ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา
ต่อมาได้มีการค้นพบ พระเครื่องและพระบูชามากมายหลายชนิด หลายยุคสมัย ตั้งแต่สมัยอมรวดีทวารวดี ศรีวิชัย ปาละ ลพบุรี อู่ทอง อยุธยา ในจำนวนพระที่ค้นพบนั้น พระผงสุพรรณ ที่พบจากองค์พระปรางค์ของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ถือว่าเป็นสุดยอดของพระเครื่องที่ค้นพบทั้งหมด โดยได้รับความนิยมอย่างมากจนจัดให้เป็นหนึ่งในชุดพระเบญจภาคี

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หรือที่ชาวสุพรรณเรียกสั้นๆ ว่า วัดพระธาตุ เป็นพระอารามเก่าแก่ เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองสุพรรณ มาตั้งแต่สมัยอู่ทองและอยุธยา ตั้งอยู่ในเขตตำบลรั้วใหญ่ เทศบาลเมืองสุพรรณบุรี มีองค์พระปรางค์สูงตระหง่านเป็นองค์ประธานตั้งโดดเด่นเป็นสง่า

พระอารามแห่งนี้ถูกทอดทิ้งรกร้างอยู่เป็นเวลานาน จนประมาณปี พ.ศ.๒๔๕๖ มีชาวจีนเข้าไปตั้งบ้านเรือน ประกอบอาชีพทำสวนผัก ในบริเวณวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ได้ลักลอบขุดองค์พระปรางค์ประธาน พบแก้วแหวนเงินทองสมัยโบราณ เป็นจำนวนมาก จนข่าวกรุแตกแพร่กระจายไป
นายเจิม อร่ามเรือง นักขุดพระชื่อดังในสมัยนั้น ได้ลักลอบขุดต่อ ได้พบพระผงสุพรรณและพระเนื้อชินต่างๆ อีกหลายพิมพ์ อาทิ พระกำแพงศอก พระมเหศวร พระลีลา พระท่ามะปราง พระผงสุพรรณยอดโถ พระสุพรรณหลังผาน และพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ ศิลปะลพบุรี อู่ทอง ๒ และอู่ทอง ๓ รวมทั้งแผ่นจารึกลานทองหลายแผ่น ซึ่งนายเจิม อร่ามเรือง ได้ทำการหลอมขายจนหมด จึงเป็นที่น่าเสียดายที่ต้องสูญเสียหลักฐานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ไป
ต่อมาก็ยังมีผู้ที่ลักลอบเข้าไปขุดค้นอีกหลายครั้งได้สิ่งของที่มีค่า ไปมากมาย ข่าวการลักลอบขุดกรุทราบถึงคณะกรรมการเมือง พระยาสุนทรสงคราม (อี้ กรรณสูต) เจ้าเมืองสุพรรณบุรีในสมัยนั้น เห็นว่าปล่อยทิ้งไว้ราษฎรคงจะแห่กันไปสร้างความเสียหายต่อสมบัติของประเทศ ชาติ จึงให้เจ้าหน้าที่ รีบไปจัดการอุดช่องที่เจาะพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ แล้วจึงเปิดกรุพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุอย่างเป็นทางการ ในปี พ.ศ.๒๔๕๖
หลังจากนั้นได้นำพระเครื่องที่ได้ จากการเปิดกรุส่วนหนึ่ง ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ซึ่งทรงเสด็จฯ ไปสักการะบูชาเจดีย์ยุทธหัตถี ณ ดอนเจดีย์ ในเขตเมืองสุพรรณบุรี โดยพระยาสุนทรสงคราม ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นผู้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย

เรื่องราวของการเปิดกรุเป็นทางการในครั้งนั้น ปรากฏในพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งกล่าวถึงการเสด็จฯ ไปสักการะพระเจดีย์ยุทธหัตถีของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และการนำพระผงสุพรรณ พระกำแพงศอก และพระพิมพ์ต่างๆ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระองค์ดังความว่า......."เมื่อทรงสักการบูชาพระเจดีย์แล้ว (พระเจดีย์ยุทธหัตถี) พระยาสุนทรสงคราม ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี นำสิ่งของโบราณต่างๆ ทูลเกล้าฯ ถวาย สิ่งของซึ่งพบที่ดอนเจดีย์เมื่อฉาบดินและแผ้วถางทางรับเสด็จคราวนี้ คือยอดธงชัย เป็นรูปวชิระทำด้วยทองสัมฤทธิ์ยอด ๑.นอกจากสิ่งของที่ได้ที่ดอนเจดีย์ พระยาสุนทรสงครามได้นำพระเครื่องซึ่งพบในกรุที่วัดพระธาตุในเมืองสุพรรณบุรี เมื่อจวนจะเสด็จคราวนี้ ทูลเกล้าฯ ถวายเป็นพระพุทธลีลาหล่อพิมพ์ด้วยโลหะธาตุอย่างหนึ่ง พระพุทธรูปมารวิชัย พิมพ์ด้วยดินเผาอย่างหนึ่ง อย่างละหลายร้อยองค์ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแจกแก่เสือป่า ลูกเสือ ทหาร และตำรวจ บรรดาที่โดยเสด็จครั้งนี้โดยทั่วกัน"

ในการเปิดกรุครั้งนี้ ได้พบพระพิมพ์ต่างๆ เป็นจำนวนมาก และได้พบแผ่นจารึกลานทองภาษาขอม ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงแปลไว้ กล่าวถึงการสถาปนาพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ โดยกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา และได้รับการปฏิสังขรณ์โดยพระราชโอรสซึ่งมีข้อความคล้ายคลึงกับแผ่นลานทอง ซึ่งพบที่ยอดนพศูลองค์พระปรางค์ซึ่งแปลโดยนายฉ่ำ ทองคำวรรณ ซึ่งมีใจความว่า
พระราชาผู้ยิ่งใหญ่กว่าพระราชาทั้งหลายในอโยธยา ทรงมีพระนามว่าจักรพรรดิ โปรดให้สร้างสถูปองค์นี้ขึ้นไว้และทรงบรรจุพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าไว้ภาย ใน แต่สถูปของพระองค์ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา พระโอรสของพระองค์ ผู้เป็นราชาเหนือพระราชาทั้งหลาย ในพื้นแผ่นดินทั้งมวล และเป็นราชาธิราชผู้ประเสริฐ โปรดให้ปฏิสังขรณ์ให้กลับคืนดี และทรงบรรจุพระวรธาตุของพระพุทธเจ้า ไว้ในพระสถูปนั้น พระองค์ทรงเลื่อมใสในพระสถูป จึงทรงบูชาด้วยเครื่องบูชา เครื่องบูชามีทอง เป็นต้น แล้วตั้งความปรารถนาว่า ด้วยบุพกรรมแห่งข้านั้น ขอให้ข้าพึงเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเทอญ"

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ มีองค์พระปรางค์องค์ใหญ่ สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) หรือสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แม้ว่าไม่ปรากฏหลักฐานผู้สร้างที่ชัดเจน แต่มีหลักฐานที่สำคัญต่อการศึกษาของวงการพระเครื่อง พระบูชา คือลานทอง ๓ แผ่น ซึ่งเป็นการจารึกประวัติศาสตร์ของการสร้างวัด สร้างพระเครื่องและพระบูชา โดยเฉพาะแผ่นที่ ๒ ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงแปลไว้ว่า

"ศุภมัสดุ ๑๒๖๕ สิทธิการิยะแสดงบอกไว้ให้รู้ว่า มีฤๅษีทั้งสี่ตน พระฤๅษีพิมพิลาไลย์เป็นประธาน เราจะทำด้วยฤทธิ์ทำด้วยเครื่องประดิษฐ์มีสุวรรณ เป็นต้น คือบรมกษัตริย์พระยาศรีธรรมโศกราชเป็นผู้ศรัทธาพระฤๅษีทั้งสี่ตน จึงพร้อมกันนำเอาแต่ว่านทั้งหลาย พระฤๅษีจึงอัญเชิญเทพยดามาช่วยกันทำพิธี ทำเป็นพระพิมพ์ไว้สถาน ๑ แดง สถาน ๑ ดำ ให้เอาว่านทำเป็นผงก้อนพิมพ์ด้วยลายมือของพระมหาเถระปิยะทัศสะศรีสารีบุตร คือ เป็นใหญ่เป็นประธานในที่นั้น ได้เอาแร่ต่างๆ ซัดยาสำเร็จแล้วให้นามแร่ว่าสังฆวานร ได้หล่อเป็นพิมพ์ต่างๆ มีอานุภาพต่างกัน เสกด้วยมนต์คาถาครบ ๓ เดือน แล้วท่านเอาไปประดิษฐ์สถานไว้ในสถูปใหญ่แห่งหนึ่งที่เมืองพันทูม (สุพรรณบุรี) ถ้าผู้ใดพบเห็นให้รีบเอาไปไว้สักการะบูชาเป็นของวิเศษ แม้จะมีอันตรายประการใดก็ดี ให้อาราธนาผูกไว้ที่คอ อาจคุ้มครองภยันตรายได้ทั้งปวง ถ้าผู้ใดจะออกรณรงค์สงครามประสิทธิ์ด้วยสาทตราวุธทั้งปวง เอาพระลงสรงน้ำมันหอมแล้วนั่งบริกรรมพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ๑๐๘ จบ พาหุง ๑๓ จบ ใส่ขันสัมฤทธิ์นั่งอธิษฐานเอาตามความปรารถนาเถิด ให้ทาทั้งหน้าและผม คอ หน้าอก ถ้าจะใช้ในทางเมตตาให้มีสง่าเจรจาให้คนทั้งหลายเชื่อฟังยำเกรง ให้เอาพระไว้ในน้ำมันหอม เสกด้วยคาถาเนาว์หอระคุณ ๑๓ จบ พาหุง ๑๓ จบ พระพุทธคุณ ๑๓ จบ ให้เอาดอกไม้ธูปเทียนบูชาทำพิธีในวันเสาร์ น้ำมันหอมเก็บไว้ใช้ได้เสมอ ทาริมฝีปาก หน้าผาก และผม ถ้าผู้ใดพบพระตามที่กล่าวมานี้ พระว่านก็ดี พระเกษรก็ดี ทำด้วยแร่สังฆวานรก็ดี อย่าประมาทเลย อานุภาพพระทั้ง ๓ อย่างนี้ดุจกำแพงแก้วกันอันตรายทั้งปวง แล้วให้ว่าคาถาทเยสันตาจนจบ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณจนจบ พาหุงไปจนจบ แล้วให้ว่าดังนี้อีก คะเตสิกเก กะระณังมะกา ไชยยังมังคะ สังนะมะพะทะ แล้วให้ว่า กิริมิถิ กุรุมุธุ เกเรเมเถ กะระมะทะ ประสิทธิแล"

จากคำแปลนี้ก็ได้มีข้อสังเกตว่า พระผงสุพรรณเป็นพระเนื้อดินที่ไม่ได้ผ่านการเผา เป็นพระดินดิบเพียงแค่ผสมกับว่าน ๑๐๘ ผงเกสรดอกไม้และตัวประสาน แต่เมื่อนำไปบรรจุกรุ ความร้อนอบอ้าวภายในกรุจะค่อยอบ จนพระผงสุพรรณแห้ง คล้ายกับการเผาไฟ
พระผงสุพรรณเป็นพระเครื่อง ที่พบในกรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เป็นพระเนื้อดินเผา จำลองพุทธลักษณะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในรูปแบบพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งบนฐานเขียงชั้นเดียว ศิลปะยุคอู่ทอง พระพักตร์แตกต่างกันออกไปตามพิมพ์ พระเกศคล้ายฝาละมี มีกระจังหน้า พระพักตร์เคร่งขรึม ขึงขัง พระนาสิกหนาใหญ่ พระอุระหนา ส่วนพระกรทอดเรียว แสดงออกถึงศิลปะสกุลช่างอู่ทอง ที่เน้นความละม้ายคล้ายคลึง กับมนุษย์มากที่สุด
ด้านหลังของพระผงสุพรรณปรากฏลายนิ้วมือเป็นค่อนข้างหยาบอย่างชัดเจน สันนิษฐานว่า เป็นลายนิ้วหัวแม่มือโดยกดหนักทางด้านบน ขนาดขององค์พระมีความกว้าง ความหนาและความสูงไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการกดพิมพ์และการตัดขอบ มักจะมีรอยตัดยอดบนขององค์พระออก
ด้วยเหตุที่เมื่อพบพิมพ์พระ ๓ ประเภท มีลักษณะพระพักตร์เหมือนศิลปะสกุลช่าง แห่งพระพุทธรูปสมัยอู่ทอง ๓ แบบ จึงได้แบ่งพิมพ์พระผงสุพรรณออกเป็น ๓ พิมพ์ตามพระพุทธรูป ได้แก่
1.พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าแก่
2.พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้ากลาง
3.พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าหนุ่ม
พระผงสุพรรณ จัดเป็นหนึ่งในชุดพระเบญจภาคี มีพุทธานุภาพในด้านแคล้วคลาด มหาลาภ เมตตามหานิยม มหาอำนาจ เป็นมงคลยิ่งแก่ผู้สักการบูชา

----------------------------------------

ประวัติพระผงสุพรรณ

พระผงสุพรรณ เป็นยอดพระเครื่องฯ ในชุดเบญจภาคีที่มีค่าเป็นอันดับหนึ่ง ในเมืองสุพรรณ แต่ปัจจุบันนี้หาได้ยาก (มีของปอมกลาดเกลื่อนไปหมด )

ตำนานการสร้าง
ตำนานการสร้างพระผงสุพรรณนั้น ท่านอาจารย์กลิ่น วัดจักรวรรดิ์ ฯ จังหวัดพระนคร ได้บอกเล่าว่าท่านมหาชื้น วัดจักรวรรดิ์ ฯ เป็นผู้ตัดต่อจากลานทอง ที่ปรางวัดพระธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อปี พ,ศ ๒๔๕๓ มีใจความดังนี้ คือ
ศุภมัสดุ ๑๒๖๕ สิทธิการิยะแสดงบาทไว้ให้รู้ว่ามีฤาษีพิลาลัยเป็นประธาน เราจะทำด้วยฤทธิ์ ทำเครื่องประดิษฐ์มีสุวรรณ เป็นต้น คือ พระบรมกษัตริย์ พระศรีธรรมาโศกราชเป็นผู้ศรัทธา ฤาษีทั้ง ๔ ตน จึงพร้อมใจกันนำเอาแร่ว่านทั้งหลายอันมีฤทธิ์กับแร่ต่างๆ ครั้งได้แล้วพระฤาษี จึงอันเชิญเทพยดา เข้ามาช่วยกันทำพิธีเป็น พระพิมพ์สถานหนึ่ง สถานหนึ่งแดง ได้เอาว่านทำผงปั้นพิมพ์ด้วยลายมือ พระมหาเถรปิยทัสสะดิสศรีสาริบุตร คือเป็นใหญ่ เป็นประธานในที่นั้น ได้อาแร่ต่างๆ ซัดยาสำเร็จแล้วให้นามว่า “แร่สังฆวานร “ ได้หล่อเป็นพิมพ์ต่างๆ มีอานุภาพต่างๆกัน เสกด้วยมนต์คาถาครบ ๓ เดือน แล้วเอาไปประดิษฐานไว้ในสถูปใหญ่แห่งเมืองพรรธม ถ้าผู้ใดได้พบให้รีบเอาไปสักการบูชาเป็นของวิเศษนักแล ฯ

กรุแตกเมื่อปี พ. ศ. ๒๔๕๖
นาย พิน ฯ ได้เล่าว่า ในปี พ. ศ ๒๔๕๖ สมัยนั้นตนยังเป็นเด็กลูกวัดอยู่ ต่อมาได้มีพระดงค์รูปหนึ่งมาถามแกว่า
วัด “พระธาตุไปทางไหน” นายพิน ฯ ก็ชี้บอกทางให้ ครั้งภายหลัง นายพินฯ จึงมาทราบว่าพระธุดงค์รูปนั้นได้ลายแทงมาขุดหาสมบัติ ของสำคัญได้ผอบทองคำไปใบหนึ่ง และมิได้นำอะไรไปจากกรุเลย แต่ชาวจีนที่พระธุดงค์จ้างมาขุด กับได้พระเครื่องฯ ต่างๆไปเป็นอันมาก อาทิเช่นพระผงสุพรรณ พระกำแพงศอก ฯลฯ แล้วนำออกเร่ขาย ความทราบถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองก็รีบไปจัดการอุดช่องที่เจาะพระปรางค์ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเสีย
ในปี พ.ศ.๒๔๕๖ (ปีเดียวกับกรุแตก ) พระยาสุนทรบุรี (อี้ กรรณสูต ) ผู้ว่าราชการจังหวัด ได้นำเสด็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวไปเปิดกรุได้พบลายแทงแผ่น ลายเงิน-ทอง จารึกอักษรขอม
ครั้งต่อมาพระยาสุนทรบุรี ได้นำเอาพระผงสุพรรณ ขึ้นถวายตลอดจนพระเครื่อง ฯ กรุพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ แด่ล้นเกล้า ฯ ร. ๖

อภินิหาร
สมัยก่อนโน้น ชาวเมืองสุพรรณนิยม กีฬาชนควาย พนันกัน เอาเงินเอาทองและเล่นกันมาก ประจวบกับในระหว่างนั้น พระผงสุพรรณนั้นมีมาก และไม่มีมูลค่า(ราคาของเงิน )เหมือนเช่นปัจบันนี้ จึงได้นำเอาพระผงสุพรรณองค์ที่แตกหัก ไปป่นให้ละเอียด ผสมคลุกกับหญ้าให้ควายกิน แล้วนำควายไปชนกัน ปรากฏว่า ควายที่กินเศษผงพระผงสุพรรณเข้าไป ขวิดได้ดีมาก และหนังเหนียวเสียด้วย เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก

วิธีการอาราธนา-การใช้
ให้เอาพระผงสุพรรณสรงน้ำหอม นั่งบริกรรม พุทธคุณ, ธรรมคุณ, สังฆคุณ ๑๐๘ จบ สวดพาหุง ๓ จบ
ให้เก็บน้ำมันหอมไว้ใช้ได้เสมอ และถ้าจะให้เพิ่มความขลังให้ว่าบทดังนี้อีกกลั้นลมหายใจให้เป็นสมาธิเพื่อ ความขลังยิ่งขึ้นว่า คะเต ลิก เก กะระณังมะหา ชัยยังมังคะลัง นะมะพะทะ กิริมิติ กุรุมุธุ เกเรเมเถ กะระมะถะ ประสิทธิ์นักแลฯ
ลักษณะพระผงสุพรรณ
- กรอบ เป็นรูปสามเหลี่ยม ยอดตัด ( ตัดด้วยตอก )ตลอดจนขอบข้าง
- แบบชนิดคล้ายพระนางพญาก็มี แต่มีน้อยมาก พระวรกาย เป็นพระพุทธรูป ศิลป์สมัยอู่ทอง
- แบบพิมพ์ที่มารตฐาน มี ๓ แบบคือ พิมพ์หน้าแก่ พิมพ์หน้ากลาง และ พิมพ์หน้าหนุ่ม
- พระเกศ ซ้อนกัน ๓ชั้น พระกรรณ หย่อนยาน ปลายพระกรรณซ้ายหักเข้ามุมใน ต้นของพระกรรณติดกับพระเศียร คล้ายหูแพะ พระอุระ คล้ายหัวช้าง พระอุทร แฟบ ด้านหลังจะปรากฏรอยนิ้วมือเกือบทุกองค์
- พระผงสุพรรณ มีสีที่แตกต่างกัน ถึง ๔ สี คือ ๑ สีดำ ๒ สีแดง ๓ สีเขียว ๔ สีพิกุลแห้ง

พระพุทธคุณนั้น ใช้ดีในทางเมตตามหานิยม คงกระพัน ตลอดจน แคล้ว และคงกระพันชาตรี

สรุปความแล้วก็ คือ พระเครื่องราง ของขังไม่ว่ากรุใหนๆ วัดใด ก็ตาม ย่อมมีอภินิหาร อำนาจลึกลับ อยู่ในพระเครื่องเสมอ ซึ่งทั้งนี้ก็เนื่องมาจากพระอาจารย์ผู้สร้างพระเครื่องนั้นๆ เสมอ ท่านได้บรรลุแล้ว ซึ่งญาณสมาบัติอันสูงสุด และหมดสิ้นซึ่งกิเลสใดๆ ทั้งสิ้น ( อำนาจของดวงจิตเป็นสมาธินั่นเอง ) ซึ่งทั้งนี้ก็หวังที่จะสืบทอด พระพุทธศาสนา ให้เจริญเจริญถาวรไป ๕,๐๐๐ ปี โดยการ บรรจุกรุ เป็นต้น